กำเนิดวัดหนองป่าพง
วัดหนองป่าพงกำเนิดเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2497
ตรงกับวันจันทร์ขึ้น
4 ค่ำ เดือน 4 ปีมะเส็ง เมื่อหลวงปู่ชาพาคณะเดินทางมาถึงดงป่าพงอันหนาทึบ
ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านก่อ บ้านเกิดของหลวงปู่ ประมาณ 2-3 กิโลเมตร
ในวันนั้นคณะธุดงค์ได้ไปปักกลดค้างแรมที่ริมหนองน้ำชายป่า
ดงป่าพงในสมัยนั้น มีสภาพเป็นป่าทึบรกร้าง ชุกชุมด้วยไข้ป่าและสัตว์ป่านานาชนิด
ในเวลานั้นป่าพงเป็นดงขนาดใหญ่ มีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านเรียกป่าดงดิบนี้ว่า “หนองป่าพง”
เพราะใจกลางป่ามีหนองน้ำใหญ่ที่มีกอพงขึ้นอยู่หนาแน่น ดงป่าพงยังเป็นสถานที่ที่หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล และลูกศิษย์เคยมาพักธุดงค์มาก่อน
ดังที่หลวงปู่เคยเล่าว่า
"สมัยที่อาตมาเป็นเด็ก ได้ยินโยมพ่อเล่าให้ฟังว่า ท่านอาจารย์เสาร์ก็เคยมาพักอยู่ที่นี่
โยมพ่อเคยได้มาฟังธรรมกับท่าน อาตมาเป็นเด็ก ๆ ยังจำได้ ความจำเช่นนี้แหละ
มันติดในใจตลอดเวลา นึกอยู่เสมอ ๆ เลย เพราะว่าบ้านนี้มันเป็นบ้านร้าง
ดูต้นมะม่วงใหญ่ ๆ ของเก่าแก่ทั้งนั้น
โยมพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า มากราบพระกรรมฐาน มาดูท่านฉันจังหัน ก็เอาอาหารอะไรรวมลงในบาตรทั้งนั้นแหละ
ข้าวก็รวมลงในบาตร แกงก็รวมใส่ในบาตร หวานคาวใส่ในบาตรหมด โยมพ่อหม่เคยเห็น เอ๊ะ!
นี่พระอะไร เคยเล่าให้อาตมาฟังตอนเป็นเด็ก ท่านเรียกว่าพระกรรมฐาน
เทศน์ก็ไม่เหมือนพระธรรมดาเรา อยากจะได้ฟังเทศน์ก็ไม่ได้ฟัง มีแต่พูดไปโป้ง ๆ
เท่านั้น ก็เลยไม่ได้ฟังเทศน์กัน ได้ฟังแต่คำพูดท่าน
อันนั้นคือพระปฏิบัติที่มาอาศัยอยู่นี้ ครั้นเมื่อได้ออกมาประพฤติปฏิบัติเองแล้ว
ความรู้สึกอันนี้มันมีอยู่ในใจตลอดเวลา
เมื่อหันหน้าเข้ามาทางบ้านก็นึกถึงป่านี้ไม่ได้ขาด
เมื่อธุดงค์ไปพอสมควรแล้วก็ได้กลับมาอยู่ ณ ที่นี้
ระยะหนึ่ง พระอาจารย์ดีจากอำเภอพิบูลมังสาหาร กับท่านเจ้าคุณชินฯ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) เขานิมนต์มาอยู่ที่นี่
อยากจะอยู่ที่นี่เหมือนกัน แต่ท่านว่าท่านอยู่ไม่ได้
ท่านอาจารย์ดีบอกว่าที่นี่ไม่ใช่ของท่าน ท่านเจ้าคุณชินฯ ก็ยังพูดเสมอ
ที่นี่เราอยู่ไม่ได้ ไม่ใช่ที่อยู่ของเรา เจ้าของที่ที่นี่
ไม่นานเดี๋ยวท่านก็มาของท่าน"
ในวันถัดมา คณะธุดงค์ได้เข้าสำรวจดงป่าพงซึ่งรกทึบมาก
ชาวบ้านที่มาต้อนรับ ได้จัดที่พักชั่วคราวที่บริเวณต้นมะม่วงใหญ่ (ด้านทิศใต้ของโบสถ์ปัจจุบัน)
ต่อมาเมื่อพิจารณาเห็นสมควร และตกลงจัดตั้งสำนักสงฆ์ ณ ที่นั้น
จึงได้เริ่มการปลูกสร้างเสนาสนะขึ้นด้วยแรงศรัทธาจากญาติโยมชาวบ้านก่อและบ้านกลาง
ได้กุฏิเล็ก ๆ 3-4 หลัง มุงด้วยหญ้าคา พื้นปูด้วยฟากไม้ไผ่
ฝากั้นด้วยใบตองชาดและต้นเลาต้นแขม หลังจากมีกุฏิพอกันแดดกันฝนได้บ้างแล้ว
หลวงปู่ก็พาหมู่คณะมุ่งบำเพ็ญภาวนาอย่างพากเพียร แม้ขณะนั้น จะลำบากยากไร้ปัจจัย
เครื่องอาศัยแทบทุกอย่าง ดังที่หลวงปู่เล่าถึงความเป็นอยู่ในครั้งนั้นให้ว่า
"ครั้งแรกก็อยู่ด้วยกันสี่รูป ได้รับความทุกข์ยากลำบากสารพัดอย่าง
แต่การประพฤติปฏิบัติเข้มข้นมาก การอดทนนี่ ยกให้เป็นที่หนึ่ง ฉันข้าวเปล่า ๆ
ก็ไม่มีใครบ่น เงียบ ไม่มีใครพูด"
ต่อมาได้มีการขุดบ่อน้ำ และใช้ดินที่ขุดขึ้นมานั้นถมพื้น
สร้างศาลาหลังเล็ก ๆ ซึ่งเป็นที่ประชุมสงฆ์ต่อมาอีกหลายปีหลวงปู่ยังเล่าถึงสภาพของวัดหนองป่าพง
ในสมัยเริ่มก่อตั้งนั้น ให้ญาติโยมฟังว่า
"วัดป่าพงสมัยก่อนนี้ลำบากมาก ที่แห่งนี้เป็นดงใหญ่
เป็นที่อยู่ของพวกช้างพวกเสือต่าง ๆ มีหนองน้ำอยู่แห่งหนึ่งสำหรับสัตว์ป่าทั้งหลายอาศัยกิน
อาตมามาอยู่ที่นี่ทีแรกไม่มีอะไรทั้งนั้น มีแต่ป่า ถนนหนทางอะไรอย่าไปพูดถึง
การไปมาลำบากมาก ที่ของพวกชาวนาก็อยู่ไกลเขาไม่กล้าเข้ามาใกล้ป่านี้
เขาถือว่าเจ้าที่ที่นี่แรงมาก คือ แต่ก่อนเจ้าที่เป็นนายโขลงช้าง พาลูกน้องไปคล้องช้างมาขาย
ผ่านไปผ่านมาอยู่แถบนี้เสมอ และในที่สุดจึงตั้งหลักฐานอยู่ที่นี่
รักษาดงแห่งนี้ไว้ ป่าจึงพอมีเหลือจนอาตมาได้มาอาศัย
ถ้าไม่อย่างนั้นป่าไม้หมดไปนานแล้ว เคยมีชาวบ้านผึ้ง บ้านบก เข้ามาจับจอง ถากถาง
ทำไร่ทำนากัน แต่ก็ต้องมีอันเป็นไปต่าง ๆ นานา พวกที่เข้ามาตัดไม้ตัดฟืนในป่านี้
ก็มักจะมีเหตุให้ล้มตายกัน มันแกวมันสำปะหลังที่ขึ้นเองก็มีอยู่มาก
แต่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง พออาตมามาอยู่แล้วจึงมีคนมาทำนาอยู่ใกล้ๆ"
หลวงปู่ตั้งชื่อวัดแห่งนี้ว่า “วัดหนองป่าพง”
โดยอาศัยสภาพภูมิประเทศเป็นหลัก
แต่ชื่อที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากก็คือ “ วัดป่าพง”
บุพนิมิต
เมื่อถึงวันเพ็ญเดือน 4 ปีมะเส็ง นับได้ 10 วันหลังจากที่หลวงปู่และคณะธุดงค์พักอยู่ที่ดงป่าพง
ช่วงหัวค่ำได้มีญาติโยมมาฟังธรรมประมาณสิบกว่าคน หลวงปู่ได้เตือนทุกคนล่วงหน้า
ให้อยู่ในความสงบ มีอะไรเกิดขึ้นก็อย่าตกใจ อย่าส่งเสียง
เมื่อหลวงปู่แสดงธรรมไปสักพักก็เกิดดวงไฟสว่างคล้ายกับดาวหาง
ปรากฏขึ้นทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แล้วลอยลับตาไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
แสงไฟนั้นสว่างจ้าดุจกลางวัน เสมือนเป็นบุพนิมิต และเป็นสิริมงคลแก่วัดหนองป่าพง
แต่ตัวหลวงปู่ไม่ได้สำคัญมั่นหมายอะไร ยังคงแสดงธรรมต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ญาติโยมเกิดความสงสัยและประหลาดใจ แต่ทุกคนไม่ได้แตกตื่นกลับพากันนั่งเงียบ
หลวงปู่ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีก
และนี่ก็เป็นหลักในการอบอรมชาวบ้านของท่านตลอดมาว่า
แม้สิ่งอัศจรรย์ก็เป็นสักแต่ว่าสิ่งธรรมดานั่นเอง อย่าพึงตื่นเต้นกับมันเลย
เช้าวันรุ่งขึ้นหลวงปู่จึงได้พาญาติโยมออกไปปักเขตวัด
โดยอาศัยที่ขึ้นและดับของแสงสว่างนั้นเป็นประมาณ ท่านได้ประมาณที่ดินไว้ประมาณ 187
ไร่
แล้วต่อมาให้ตัดทางรอบ
ข้อมุลจาก wikipedia